:: H-Index :: |
||
ความเป็นมาและนิยามของ H-Index
H-index เป็นดัชนีที่พยายามวัดทั้งผลิตภาพ (productivity) และผลกระทบ (impact) ของผลงานของนักวิจัย กล่าวอีกนัยหนึ่ง H-index จะวัดจำนวนบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ และการอ้างอิง (citation) บทความเหล่านั้น นักวิจัยที่มีจำนวนบทความมากจะมีค่า H-index สูงได้จะต้องมีบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงควบคู่ไปด้วย ค่า H-index นี้ สามารถนำไปใช้วัดผลิตภาพ และผลกระทบของกลุ่มนักวิจัยได้ เช่น เราอาจคำนวณหาค่า H-index ของภาควิชา ของมหาวิทยาลัย หรือ แม้แต่ของประเทศได้ นอกจากนี้ ค่า H-index สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เช่น ในมหาวิทยาลัยชั้นดีในสหรัฐอเมริกา จะเป็น full professor ได้ควรมีค่า H-index ประมาณ 18 ขึ้นไป แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับสาขาวิชาด้วย ถึงแม้ H-index จะเป็นตัวชี้วัดที่ดี สามารถบอกคุณภาพของนักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้าจะเปรียบเทียบนักวิจัย ต้องเปรียบเทียบเฉพาะในสาขาเดียวกัน ไม่ควรเปรียบเทียบข้ามสาขา เนื่องจากจำนวนนักวิจัย จำนวนบทความ และธรรมชาติของงานวิจัยที่ต่างกัน ทำให้ค่า H-index ของนักวิจัยต่างสาขากันมีค่าแตกต่างกัน เช่นในสาขาเคมี นักวิจัยที่มีค่า H-index สูง มีจำนวนมาก และค่า H-index ก็สูงมากด้วย เช่นในปี 2007 Professor E.F. Corey ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีค่า H-index สูงสุดที่ 132 (เขาตีพิมพ์อย่างน้อย 132 paper ที่มีการอ้างอิงอย่างน้อยบทความละ 132 ครั้ง) แต่ปัจจุบัน Professor Whitesides ได้แซงหน้าไปแล้ว โดยมีค่า H-index 147 นอกจากนี้ จำนวนนักเคมีที่มีค่า H-index สูงกว่า 60 มีจำนวนมากถึง 250 คน ในขณะที่สาขาอื่น เช่น สาขา computer science นักวิจัยที่มีค่า H-index เกิน 60 มีแค่ 19 คน และค่าสูงสุดอยู่ที่ 92 เท่านั้น เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ ค่า H-index ของนักวิทยาศาสตร์ไทยสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 24-25 โดยผู้ที่มีค่า H-index สูงสุดในอดีต คือ ศ.นพ.ศรชัย หลูอารีย์สุวรรณ มีค่า H-index ถึง 45 แต่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ปัจจุบันมีดัชนีที่ใช้วัดผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมากมาย แต่ละตัวก็จะ มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกันไป ไม่มีดัชนีตัวใดที่ไม่มีจุดอ่อน หรือถือได้ว่าดีที่สุด H-index ก็เช่นเดียวกัน มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีของ H-index ก็คือ ได้พยายามที่จะแก้จุดอ่อนของดัชนีตัวอื่น ที่ใช้นับจำนวนบทความตีพิมพ์ หรือจำนวนการอ้างอิงเพียงอย่างเดียว เนื่องจาก จำนวนบทความตีพิมพ์ไม่ได้สะท้อนคุณภาพที่แท้จริง ในขณะที่จำนวนการอ้างอิง ที่สูงของบทความเพียง 1 หรือ 2 บทความ อาจทำให้เข้าใจในคุณภาพผลงานของนักวิจัยคลาดเคลื่อนได้ เช่น ถ้านักวิจัย มีบทความที่ได้รับการอ้างอิงเป็นหลักพันเพียง 1 หรือ 2 บทความ จะทำให้ค่าเฉลี่ยของการอ้างอิงต่อบทความหรือยอดรวมของการอ้างอิงสูงกว่านัก วิจัยอื่นได้ ซึ่งอาจไม่สะท้อนคุณภาพที่แท้จริงของงานโดยรวม ดังนั้น H-index จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะวัดทั้งเชิงผลิตภาพ (productivity) หรือเชิงปริมาณ และผลกระทบหรือเชิงคุณภาพของบทความตีพิมพ์ของนักวิจัยไปพร้อมๆ กัน เช่น นักวิจัยคนหนึ่ง จะมี H-index เป็น 10 ได้ เขาจะต้องมีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ยอมรับจำนวน 10 เรื่อง ที่ถูกอ้างอิงไม่น้อยกว่าเรื่องละ 10 ครั้ง ในขณะเดียวกันเขาอาจจะมีบทความอีกกี่เรื่องก็ได้ที่ถูกอ้างอิงแต่ละ เรื่องไม่เกิน 10 ครั้ง อย่างไรก็ตาม H-index ก็มีจุดอ่อนหรือข้อด้อยหลายข้อ เช่น
ถึงแม้ว่า H-index จะมีจุดอ่อนหลายข้อ แต่ก็ถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่ดีตัวหนึ่ง ถ้าเลือกใช้ให้เหมาะก็จะเป็นประโยชน์ที่ผ่านมาพบว่า H-index เหมาะสำหรับเปรียบเทียบผลงานวิจัยในสาขาวิชาเดียวกัน ยิ่งมีอายุการทำงานใกล้เคียงกันก็จะยิ่งดี ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบผลงานการอ้างอิงของนักวิจัย ควรจะกำหนดช่วงเวลาการอ้างอิงด้วย เช่น 5 ปี หรือ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้ H-index จะยิ่งมีความแม่นยำมากขึ้น ถ้านำเรื่อง corresponding author ของบทความ หรือเรื่องการอ้างอิงตนเอง (self-citation) มาพิจารณาด้วย ด้วยเหตุผลที่ H-index เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ได้ จึงมีสถาบันบางแห่งนำไปใช้เป็นตัวชี้วัดประเมินผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยระดับ top ของโลก ที่รู้จักกันดีได้แก่ HEEACT หรือ Higher Education Evaluation & Accreditation Council of Taiwan ซึ่งได้ประเมินมหาวิทยาลัยทั่วโลก และจัดอันดับ top 500 ไว้ โดยใช้ตัวชี้วัดและน้ำหนัก ดังนี้
จากตารางจะพบว่า ตัวชี้วัดที่ HEEACT ใช้มี 8 ตัว จัดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ research productivity, research impact และ research excellence โดยแต่ละกลุ่มมีตัวชี้วัด 2-3 ตัว และมีน้ำหนักต่าง ๆ กัน ตัวชี้วัดกลุ่มที่ 1 วัดผลิตภาพ คือจำนวนบทความตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติที่มี peer review ตัวชี้วัดในกลุ่มนี้มี 2 ตัว ตัวแรกดูยอดรวมในรอบ 11 ปีสุดท้าย และตัวที่สองดูผลงานในปีล่าสุดปีเดียว ตัวชี้วัดกลุ่มที่ 2 ดูผลกระทบของงานวิจัย โดยดูจากจำนวนการอ้างอิงในรอบ 11 ปี ใน 2 ปีสุดท้าย และค่าเฉลี่ยการอ้างอิงต่อปี ในขณะที่ตัวชี้วัดกลุ่มที่ 3 วัดความเป็นเลิศของงานวิจัย โดยดูจากค่า H-index ของ 2 ปีล่าสุด จำนวนบทความที่ถูกอ้างอิงสูงในรอบ 11 ปี และจำนวนบทความใน high impact journal ปีล่าสุด ในที่นี้บทความที่ถูกอ้างอิงสูง คือ บทความที่ถูกอ้างอิงอยู่ใน top 1% ขณะที่ high impact journal คือ journal ที่มีค่า impact factor อยู่ใน top 5% ของวารสารในสาขาเดียวกัน ตัวชี้วัดของ HEEACT มีจุดแข็งตรงที่วัดผลงานวิจัยเป็นหลัก และข้อมูลตรวจสอบได้จริง ไม่เหมือนการประเมินของบางสถาบันที่มีตัวชี้วัดที่ใช้ความคิดเห็นของ peer (peer review) หรือดูจากชื่อเสียงของสถาบันหรือมีตัวชี้วัดที่สูงจนส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ เช่น ดูจากการได้รับรางวัลโนเบลของคณาจารย์หรือศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัย เป็นต้น HEEACT ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 500 แห่ง โดยแสดงผลแยกเป็นทวีปด้วยและยังมีการประเมินตามกลุ่มสาขาวิชา โดยแยกเป็น 6 กลุ่มสาขา ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ผลการประเมินพบว่ามหาวิทยาลัยในลำดับต้นๆ เช่น ใน 10 อันดับแรกเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาเกือบหมด เช่นเดียวกับการจัดอันดับของมหาวิทยาลัย Shanghai Jiao Tong แต่ถ้าดูจากตัวชี้วัดของ HEEACT น่าจะเป็นธรรมและแม่นยำกว่า แต่ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าของสถาบันใดน่าเชื่อถือกว่า คงต้องรอดูสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามทั้งสองสถาบันไม่ได้นำจำนวน author ของบทความมาคิด ถ้านำมาใช้ด้วยจะทำให้ผลการประเมินแม่นยำยิ่งขึ้น ดังที่ได้กล่าวถึงตอนต้นว่า H-index มีจุดอ่อนอยู่หลายข้อ และมีความพยายามที่จะแก้จุดอ่อนดังกล่าว โดยหนึ่งในหลายวิธี คือ การนำค่า G-index มาใช้ G-index เป็นตัวชี้วัดที่คิดขึ้นโดย Leo Egghe ในปี ค.ศ. 2006 เพื่อให้น้ำหนักแก่บทความที่มีการอ้างอิงสูง ๆ วิธีคิดค่า G-index ทำโดยเรียงลำดับบทความตามจำนวนการอ้างอิงจากสูงสุดลงมาต่ำสุด ค่า G-index คือ เลขจำนวนเต็มที่ใหญ่สุด ซึ่ง g บทความแรกได้รับการอ้างอิงรวมกันอย่างน้อย g2 ครั้ง การคำนวณค่า g และการเข้าใจค่า g เป็นเรื่องยาก ต้องอธิบายโดยการยกตัวอย่าง เช่น นักวิจัยคนหนึ่งมีบทความเพียง 12 บทความ ที่มีค่าการอ้างอิงเป็น 30, 25, 21, 18, 12, 6, 5, 4, 3, 3, 2, 1 ตามลำดับ ถ้าคำนวณค่า H-index จะได้เพียง 6 เนื่องจากนักวิจัยผู้นี้มีเพียง 6 บทความที่แต่ละบทความมีการอ้างอิงเกิน 6 ครั้งขึ้นไป แต่ถ้าคำนวณค่า G-index จะได้ค่าถึง 11 เนื่องจากนักวิจัยผู้นี้มีบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงมากอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้ค่า g สูงกว่า h ดังตารางต่อไปนี้ (c คือ จำนวนการอ้างอิง n คือ ลำดับที่ของบทความ)
จากตารางพบว่า ค่า G-index เป็น 11 เนื่องจากผลรวมของการอ้างอิง 11 บทความแรกรวมกันเป็น 129 ซึ่งมีค่ามากกว่า 112 หรือ 121 |
||
ข้อมูลจากเวบไซต์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) - ประชาคมวิจัย การประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (10) โดย ผศ.วุฒิพงศ์ เตชะดำรงสิน |
||